ปรับหน้าแบบองค์รวมเพื่อความสวยอย่างสมดุล
- Details
- Category: Article
“ปรับหน้าแบบองค์รวมเพื่อความสวยอย่างสมดุล”
ปัญหาที่เกิดขึ้นบนใบหน้านั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่หน้าไม่ได้รูป เช่น หน้าบาน หน้าเหลี่ยม หน้าตอบ กระดูกโหนกแก้มเด่น หน้าหัก สัดส่วนหน้าไม่สวยงาม เช่น คางสั้น จมูกสั้น หน้าผากแคบ องค์ประกอบใบหน้าไม่สวยงาม เช่น เปลือกตาตก แก้มห้อยย้อย คางป้านใหญ่ เป็นต้น โดยบางปัญหาเป็นมาแต่โครงหน้าเดิม บางปัญหาเป็นมาแต่กำเนิด แต่บางปัญหาเกิดขึ้นเพราะผลจากอายุที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเห็นได้ว่าใบหน้าของคนเพียงคนเดียวอาจพบปัญหาได้หลายรูปแบบ การปรับใบหน้าจึงต้องเป็นการปรับแบบองค์รวม เพื่อความสวยอย่างสมดุล
การปรับหน้าแบบองค์รวมเป็นอย่างไร
คนไข้บางรายอาจกังวลแค่ปัญหาเพียงอย่างหนึ่งหรือบางอย่างบนใบหน้าตัวเองเพราะคนไข้เห็นหน้าตังเองแบบ 2 มิติ แต่แพทย์ที่มีหลักการและความรู้เรื่องการปรับรูปหน้า จะสามารถวิเคราะห์ได้ดีกว่าการที่คนไข้ดูผ่านกระจกด้วยตัวเอง เพราะปัญหาใบหน้าบางอย่าง หากแก้เพียงเฉพาะส่วนอาจไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้อย่างที่คาดไว้ การปรับต้องอาศัยหลักการปรับใบหน้าในลักษณะการดูประกอบทั้งใบหน้า เนื่องจากการปรับใบหน้าบางจุด อาจส่งผลต่อส่วนของใบหน้าอีกจุดหนึ่งได้
การวินิจฉัยก่อนทำการรักษานั้นมีหลักการหลายอย่างด้วยกัน เช่น การปรับใบหน้าต้องปรับให้ใกล้เคียงรูปไข่ที่สุด แต่ให้มีลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หากเป็นเพศชายการปรับใบหน้ารูปไข่ก็ต้องมีลักษณะแบผู้ชาย คือไม่เรียวเล็กจนเกินไป ให้มีเหลี่ยมมุมแบบผู้ชายด้วย ซึ่งการปรับหน้านั้น จะต้องรู้องศาส่วนต่างๆ ของใบหน้าว่าแต่ละส่วนควรมีองศาอย่างไรจึงเหมาะสมและสวยงาม รู้ถึงกลไกและการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าแต่ละส่วนที่เกิดจากวัยที่มากขึ้น เมือแพทย์เข้าใจหลักการดังกล่าวแล้วก็จะสามารถจินตนาการได้ว่าใบหน้าที่สวยและอ่อนวัยนั้นป็นเช่นไร ก็จะทำให้ออกแบบใบหน้าได้อย่างเหมาะสม
แนวทางการปรับหน้าเพื่อความสวยอย่างสมดุล
โดยส่วนตัวของ นพ. รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับรูปหน้านอกจากการตรวจและวิเคราะห์โครงหน้าแล้ว จะทำการรักษาด้วยการใช้เทคนิคเฉพาะตัวที่คิดค้นขึ้นหลายๆ อย่างผสมผสานกัน เช่น Triagular face lift, Multidirection force และ Lifting and Multilayer support ซึ่งผลของการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว จะทำให้หน้ายกกระชับขึ้นด้วยแรงดึงของฟิลเลอร์และโบธ็อก ส่วนเกินบางส่วนสามารถใช้โบธ็อกลดได้ หรือใช้ฟิลเลอร์เพื่อพรางตาให้ลดสัดส่วนนั้นๆได้รวมทั้งเสริมส่วนของใบหน้าให้เข้ารูปสวยงามขึ้นได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีการอื่นๆ ร่วมรักษาได้ เช่น การยิงเลเซอร์กระตุ้นคลอลาเจนเพื่อชะลอความแก่และเหี่ยวหย่อยยาน โดยถ้าทำในวันเดียวกันให้ยิงเลเซอร์กิ่น แล้วตามด้วยการฉีดปรับรูปหน้าแต่ถ้าฉีดปรับรูปหน้าแล้วก็สามารถยิงเลเซอร์ได้เช่นกัน แต่ให้เว้นระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์
ผลข้างเคียงจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้นเหมือนกับการฉีดโบธ็อกและฟิลเลอร์ทั่วไป คืออาจมีรอยซ้ำบวมจากเข็มได้ ส่วนใหญ่หายภายใน 1 สัปดาห์ รวมทั้งอาจมีอาการปวดตึงได้เป็นเวลา 3-4 วัน ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรงจะไม่เกิดขึ้นถ้ารู้จักเทคนิคและวิธีการรักษาที่ถูกต้อง สำหรับคนที่ต้องการรักษาควรมีการเตรียมตัวก่อนการรักษาให้พร้อม ซึ่งเหมือนกับการฉีดทั่วๆไป ถ้าเป็นไปได้ควรงดทานยาหรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกได้ง่ายมาก่อน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ และควรทำความเข้าใจกับแพทย์ให้วัตถุประสงค์ และความเข้าใจตรงกันก่อนที่จะทำการรักษา หลังการรักษาคนไข้ดูแลตัวเองเหมือนกับการฉีดโบธ็อกและฟิลเลอร์ทั่วไป คือเลี่ยงการทำเลเซอร์ หรือเลี่ยงการอบร้อนๆ รวมทั้งเลี่ยงการกดนวดหน้าบริเวณที่ฉีด 2 สัปดาห์
ระยะเวลาในการรักษาเพื่อให้เห็นผลนั้น ในส่วนที่ต้องใช้ฟิลเลอร์ในการปรับรูปหน้าจะเห็นผลได้ทันที แต่ส่วนที่ใช้โบธ็อกจะเห็นผลได้ใน 1-2 สัปดาห์ โดยหลังจากการรักษาจะทำให้ใบหน้าได้สัดส่วนที่สวยงามขึ้น เป็นทรงหน้าที่ใกล้เคียงรูปไข่มากขึ้น ส่วนต่างๆ ของใบหน้าถ้ายาวไปก็สามารถแลดูสั้นลง หรือบางส่วนที่สั้นก็แลดูยาวขึ้น หน้าที่หย่อนคล้อยก็ดูยกกระชับขึ้น หน้าที่ดูใหญ่ไปก็ทำให้เรียวเล็กลง หน้าที่ตอบไปก็ทำให้ดูมีน้ำมีนวลขึ้น ทำให้หน้าสวยขึ้นและดูเด็กลง ที่สำคัญคือแลดูเป็นธรรมชาติ
การปรับรูปหน้าแบบองค์รวมนี้ สามารถลดปัญหาคาง 2 ชั้นลงได้มาก เพราะการปรับรูปหน้าทำให้หน้ายกกระชับและกรอบหน้าชัดเจนขึ้น ผลที่ได้เมื่อหน้ายกกระชับก็จะดึงให้ผิวใต้คางกระชับขึ้น ผลคือเนื้อคาง 2 ชั้นจะลดลง โดยทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ออกแบบใบหน้าอย่างถูกต้อง และเทคนิคการทำอย่างถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นบางครั้งแทนที่ปัญหาจะน้อยลงกลับอาจจะทำให้ปัญหารุนแรงมากยิ่งขึ้นด้วย การใช้ฟิลเลอร์และโบธ็อกให้ปลอดภัยนั้น ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และต้องใช้สารฟิลเลอร์และโบธ็อกที่ดีและมีคุณภาพเท่านั้น